วันอังคารที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2557
เซ็กส์ท่าไหนที่ผู้หญิงจะถูกใจ
ถาม : คุณหมอครับ เซ็กส์ท่าไหนที่ผู้หญิงจะถูกใจครับ?
ตอบ : คำถามสั้นๆ แต่คงต้องตอบยาว ถึงเรื่องท่วงท่า ลีลาเซ็กซ์ที่ผู้หญิงชอบ รวมไปถึง ข้อดี ข้อเสียของแต่ละท่า ซึ่งประมวลได้มา 5 ท่าที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ถูกใจมีดังนี้
1.ท่าอยู่บน ผู้หญิงส่วนใหญ่ชอบท่าที่ตนอยู่บนฝ่ายชายอยู่ล่าง เพราะเธอสามารถสั่งการควบคุมและมีพลังอำนาจเหนือฝ่ายชาย ฝ่ายชายสามารถช่วยให้เธอมีความสุขมากขึ้นได้โดยใช้มือสองข้างจับ, พยุงสะโพกของเธอ หรือช่วยสะโพกให้กระแทกลงมา ลูบไล้เหนือตัวหรือโลมเล้าหน้าอกของเธอ
– ข้อดีของท่านี้ คือฝ่ายหญิงสามารถกำหนดความลึกระดับการเสียดสีที่พอใจได้
- ข้อเสียมีสองข้อ ข้อหนึ่งฝ่ายหญิงอาจรู้สึกว่าตนเองโป๊ ข้อสองหากทำบนเตียงนอนอาจจะไม่สะดวกในการพับขาหรือชันขา
- วิธีแก้ เรื่องโป๊คงต้องใช้ปิดไฟมืด เรื่องขาไม่พอดี อาจเปลี่ยนไปมีเซ็กส์บนเก้าอี้นวมให้ฝ่ายชายนั่งเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ฝ่ายหญิงนั่งคร่อม
2.ท่ามิชชั่นนารี ชายอยู่บนหญิงอยู่ล่าง อย่าคิดว่าเป็นท่าข้าวราดผัดกะเพราไข่ดาว(ท่าสิ้นคิด) เพราะท่านี้ฝ่ายชายสามารถกำหนดความลึกและระดับการเสียดสีจุดจีและปุ่มกระสันทำให้เธอได้รับความพอใจสูงสุด มีเคล็ดลับที่ทำให้ฝ่ายหญิงพอใจมากขึ้นเมื่อใช้ท่านี้ คือฝ่ายชายสามารถกระซิบหรือพูดเรื่องลามกตลกๆ หรือชมเธอในขณะมีเซ็กส์
3.ท่าช้อนซ้อนกัน คือนอนหันหน้าไปทางเดียวกันฝ่ายชายซ้อนอยู่ด้านหลังท่านี้เป็นท่าผ่อนคลาย ฝ่ายชายไม่หลั่งเร็วเพราะไม่เสียดสีโดยตรง ที่ฝ่ายหญิงชอบเพราะความอบอุ่นที่ฝ่ายชายโอบรัดจากด้านหลัง และการก่ายขาเข้าด้วยกัน ท่านี้ยังสามารถมีลูกเล่นได้มาก เช่น ฝ่ายหญิงงอตัวเหมือนกุ้งเพื่อให้ฝ่ายชายสอดใส่ได้ลึกมากขึ้น
4.ท่านั่ง ฝ่ายหญิงนั่งแยกขาบนโต๊ะที่อยู่ระดับเอวของฝ่ายชาย ท่านี้จะเห็นในภาพยนตร์หลายเรื่องที่ทำรักกันที่โต๊ะในครัว, ที่ข้างอ่างล้างหน้าในห้องน้ำ, บนเครื่องซักผ้า (ระวังเครื่องซักผ้าพัง), บนฝากระโปรงรถ (นอกจากระวังฝากระโปรงรถบุบแล้วยังต้องระวังมีคนแอบดู) ฝ่ายชายยืนสอดใส่ซึ่งมักจะสัมผัสจุดจีที่ทำให้ฝ่ายหญิงพึงพอใจมาก
5.ท่า Doggie ฝ่ายหญิงคลานฝ่ายชายสอดใส่เข้าทางบั้นท้าย ท่านี้มักจะสอดใส่ได้ลึกและกระตุ้นปุ่มกระสันได้ดี มีคนสงสัยว่าทำไมท่านี้จึงฮิตติดอันดับที่ผู้หญิงถูกใจ เชื่อว่าเป็นเรื่องของแฟนตาซี ที่ผู้หญิงฝันเฟื่องถึงท่าสมสู่เหมือนสัตว์เลี้ยงที่ชอบ และท่านี้ยังอนุญาตให้ฝ่ายชายลูบไล้เลียไหล่หลังไปจนถึงบั้นท้ายของฝ่ายหญิง ซึ่งถือว่าเป็นอาณาจักรที่ไวต่อความรู้สึกยิ่งนัก
ขอบคุณที่มาจาก “พญ.ชัญวลี ศรีสุโข”
www.healthcorners.com
รับมือหน้าฝนที่แสนหน้าเบื่อ
ช่างน่าเบื่อจริงๆ กับสายฝนที่ตกมาตลอดเวลา จะออกนอกบ้านทีไรเป็นต้องพกร่มอยู่ตลอดเวลา ก็ยังไม่วายจะเปียกชื้น ชวนให้เป็นไข้หวัดอยู่บ่อยๆ และที่สำคัญก็คือเชื้อรา ถือว่าเป็นมหันตภัยร้ายเลยทีเดียวในช่วงหน้าฝนแบบนี้ ถ้าไม่อยากให้เชื้อราซึ่งเป็นบ่อเกิดแห่งโรคร้ายเข้ามากล้ำกรายละก็ ต้องปฎิบัติตัวขณะออกไปนอกบ้านในตอนที่ฝนตกพรำๆ ด้วยวิธีดังต่อไปนี้
1. หลีกเลี่ยงการเดินลุยในน้ำขัง เวลาเดินออกไปข้างนอกต้องหลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ำที่ขังตามถนนหนทาง เพราะเราไม่ทราบว่าในน้ำมีของมีคนอยู่หรือเปล่า ดีไม่ดีเราอาจจะเดินไปเตะโดนกับของมีคมเข้า จะทำให้เท้าเรามีแผลและเชื้อราอาจจะเข้าสู่ร่างกายเราได้ง่ายๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีแผลที่เท้าอยู่แล้วควรหลีกเลี่ยงการเดินลุยน้ำอย่างเด็ดขาด
2. รีบทำความสะอาดทันที เมื่อผ่านการลุยน้ำมาสิ่งแรกที่ควรจะทำก่อนที่จะเกิดอาการน้ำกัดเท้าได้ก็คือ รีบล้างเท้าทำความสะอาดก่อนทันที โดยฟอกสบู่ให้ทั่วบริเวณที่โดนน้ำ โดยเฉพาะซอกเล็บ ซอกนิ้วเท้า ควรทำความสะอาดแล้วเช็ดให้แห้ง และหาโลชั่นบำรุงมาทาไว้ ยกเว้นบริเวณซอกนิ้วแค่เช็ดให้แห้งก็พอไม่ต้องทาโลชั่นเพราะอาจจะทำให้ชื้นมากขึ้น
3. ควรอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เมื่อกลับถึงบ้านแล้วต้องรีบอาบน้ำ ชำระร่างกายเพื่อไม่ให้เกิดการหมักหมมของเชื้อโรคต่าง ๆ ที่มากับน้ำ
4. ควรสระผมให้สะอาด นอกจากเราจะอาบน้ำให้ร่างกายเราสะอาดแล้ว ผมก็เป็นที่หมักหมมของเชื้อโรคได้เหมือนกันถ้าหากเกิดการเปียกชื้นแล้วไม่ได้รับการทำความสะอาด ฉะนั้นเราควรสระผมให้สะอาดด้วย และควรเป่าผมให้แห้ง ถ้าขืนเรานอนหลับขณะที่ผมยังเปียกชื้นอยู่รับรองว่าเราได้เป็นเชื้อราบนหนังศีรษะแน่นอน
5. หากเราไม่สามารถที่จะอาบน้ำทันทีได้ในขณะนั้น แต่ควรที่จะรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดเก่าออก เช็ดตัวและผมให้แห้งแล้วเปลี่ยนชุดใหม่ทันทีเลย
6. รีบซักเสื้อผ้าที่เปียกชื้นทันที เสื้อผ้าที่เปียกชื้นจากน้ำฝนควรรีบทำการซักทันที ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้เพราะจะหมักหมมก่อให้เกิดเชื้อราบนเสื้อผ้าได้ ถ้าไม่สะดวกที่จะซักในทันทีก็ให้ใส่ไม้แขวนแล้วแขวนผึ่งในที่ที่มีอากาศถ่ายเท
7. เตรียมพร้อมอยู่เสมอ เมื่อเข้าสู่ฤดูฝนแล้วถึงแม้ว่าวันนี้ฝนจะตกหรือไม่ตกก็ตาม ก่อนออกจากบ้านควรพกร่มหรือว่าเสื้อกันฝนอยู่เสมอ และดูแลตัวเองให้อับชื้นน้อยที่สุด ที่สำคัญถ้าสามารถเตรียมเสื้อผ้าชุดใหม่ติดไว้ที่โต๊ะทำงานซักชุดนึงก็ไม่เลวเหมือนกัน
กินอิ่มแล้ว ง่วงนอนจัง
สำหรับสาเหตุที่เกิดอาการง่วงงุนหลังมื้อเที่ยงนั้น มีการวิจัยออกมาว่า เนื่องจากการกินมื้อเที่ยงอย่างเต็มอิ่มแล้ว ระบบย่อยอาหารก็จะจัดการย่อยอาหารปริมาณมากให้เสร็จ ทำให้เลือดต้องมาไหลเวียนอยู่ที่กระเพาะอาหารเป็นหลัก และหมุนเวียนไปสู่ส่วนอื่นๆของร่างกายน้อยลง โดยเฉพาะส่วนสมองจึงทำให้รู้สึกง่วงซึม เฉื่อยชานอกจากนี้ระดับน้ำตาลในเลือดที่ขึ้นๆลงๆ ก็มีผลต่อความรู้สึกสดชื่นหรืออ่อนเพลียก็ได้เช่นกัน ดังนั้นจึงควรกินอาหารที่รักษาระดับน้ำตาลในเลือดได้สม่ำเสมอ และอาหารประเภทโปรตีนซึ่งมีไขมันต่ำ ในปริมาณพอดีๆ จึงช่วยลดอาการง่วงลงได้
อาหารที่ว่าจะช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดได้นั้น ก็คืออาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน อย่างข้าวซ้อมมือ ขนมปังโฮลวีท ธัญพืช เมล็ดถั่ว ซึ่งมีกากใยสูง และให้พลังงานแก่ร่างกายในระยะยาว เส้นใยอาหารจะเป็นตัวช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดไม่ให้ขึ้นสูงมากและลงต่ำมาก ทั้งยังช่วยให้สุขภาพดี ขับถ่ายได้คล่องอีกต่างหาก คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนนี้จะค่อยๆ ย่อยเป็นน้ำตาล จึงทำให้รู้สึกอิ่มนาน และช่วยป้องกันอาการเฉื่อยชาและง่วงงุนหลังอาหารได้ด้วย
อ่อ ที่แท้ก็มาจากการที่เลือดเลี้ยงสมองไม่พอนี่เอง อืม ๆ ๆ รู้อย่างนี้แล้วจะต้องเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอาหารกลางวันซะแล้ว ไม่อย่างงั้นล่ะก็มีหวังนั่งหลับหน้าคอมพิวเตอร์แน่ๆเลย
ระบบประสาท
ระบบประสาท
ทำหน้าควบคุมระบบการทำงานของร่างกาย
เช่น การหายใจ การตอบสนอง การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเจริญ ฯลฯ ประกอบ ด้วย สมอง
ไขสันหลัง และ เส้นประสาท
1. สมอง เป็นศูนย์ควบคุมทั้งหมดของร่างกาย
มีเยื่อหุ้ม 3 ชั้น แบ่งสมองออกเป็น 3 ส่วน
1.1 ซีรีบรัม(สมองส่วนหน้า) มีขนาดใหญ่ที่สุด
ทำหน้าที่รับความรู้สึกและสั่งการ เช่น การจำ เชาว์
ไหวพริบ ความคิด การเรียนรู้ ได้ยิน เห็น พูด เดิน ความสมดุลในการทรงตัว
ถ้าส่วนนี้ตายไป ถือว่า บุคคลนั้นตายแล้ว เช่น ขาดเลือดเกิน 4 นาที
1.2 ซีรีเบลรัม(สมองส่วนหลัง)
มีขนาดเล็กกว่าซีรีบรัม ทำหน้าที่ควบคุมกิจกรรมของกล้ามเนื้อ การเคลื่อนไหว
และสมดุล
1.3 ก้านสมอง ได้แก่ เมดุลลาออบลองกาตา พอนด์
ทำหน้าที่ควบคุม การหายใจ หัวใจ หลั่งน้ำย่อย หลั่งฮอร์โมน
2. ไขสันหลัง
เป็นทางผ่านของกระแสประสาทต่อมาจากสมองบรรจุอยู่ภายในกระดูกสันหลัง
เป็นศูนย์กลางควบคุมการทำงานแบบ รีเฟลกซ์แอกชั่น คือ
การตอบสนองแบบไม่ตั้งใจโดยไม่ผ่านสมอง เช่น การดีดเท้าเมื่อเคาะหัวเข่า
การกระดกเท้าเมื่อเหยียบหนาม
ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
ระบบภูมิคุ้มกันของร่ายกาย
เชื้อโรคทุกชนิดจะมีสารเคมีที่ผิวเซลล์
เรียกว่า “แอนติเจน” (antigen) เมื่อร่างกายเราได้รับเชื้อโรค
ร่างกายเราก็จะสร้างสารเคมีต่อต้าน เรียกว่า “แอนติบอดี”
(antibody)อยู่ในกระแสเลือด ซึ่งจะจับกับแอนติเจนที่ผิวของเชื้อโรค
เฉพาะตัวกันเท่านั้น
เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด
ลิมโฟไซต์ ในต่อมน้ำเหลือง สามารถสร้างสาร แอนติทอกซิน เพื่อทำลายสารพิษที่เชื้อโรคสร้างขึ้นได้ด้วย
เซลล์เม็ดเลือดขาวชนิดฟาโกไซต์
สามารถ ทำลาย เชื้อโรคได้ด้วย เรียกว่า “ฟาโกไซโตซีส”
วัคซีน
เป็นเชื้อโรคที่กำลังอ่อนตัวหรือตายแล้ว แต่ยังมี แอนติเจน
ที่สามารถไปกระตุ้นให้ร่างกายสร้าง แอนติบอดี เพื่อทำลายเชื้อโรคก่อนที่จะเป็นอันตรายต่อร่างกาย
ดังนั้นเราจึงต้องได้รับวัคซีนให้ครบทุกชนิด
เซรุ่ม
เป็นสาร แอนติทอกซิน
ที่สร้างมาจากที่อื่น เพื่อให้ทำลายได้เร็วก่อนที่พิษจะเข้าสู่จุดดับของชีวิต
ข. การสร้างสุขภาพจิต
มีคำกล่าวว่า
“จิตที่แจ่มใสขึ้นอยู่กับร่างกายที่สมบูรณ์” แสดงให้เห็นว่าร่างกายเป็นสำคัญที่จะทำให้สุขภาพดี
แต่อย่าลืมว่า ร่างกายที่ดีจะต้องมาจาก
1. อาหาร
2. การออกกำลังกาย
3. สุขภาพจิต
4. สิ่งแวดล้อม
5. พฤติกรรมของตัวเอง
ความรู้ด้านร่างกาย
ร่างกายของเรา
ก.
การจัดระบบในร่างกาย
ในร่างกายถ้าเปรียบระบบอวัยวะกับการทำงานของระบบโรงงานสามารถเปรียบได้ดังนี้
เช่นผิวหนัง, ขน, เล็บ เปรียบเหมือน กำแพง ด่านตรวจ สมอง เปรียบเหมือน คอมพิวเตอร์ ตา เปรียบเหมือน กล้อง V.D.O. วงจรปิด
รปภ. ลิ้น
เปรียบเหมือน ผู้ตรวจสอบคุณภาพ หัวใจ เปรียบเหมือน เครื่องปั้มน้ำ ปอด เปรียบเหมือน แอร์ ( ก๊าช ) ไต ตับ เปรียบเหมือน เครื่องกำจัดของเสีย
ถังขยะ กระเพาะอาหาร,ลำไส้ เปรียบเหมือน ห้องครัว ในร่างกายจะประกอบด้วยหน่วยของสิ่งมีชีวิตที่เล็กที่สุดคือเซลล์(cell)เซลล์ที่มีขนาดเล็กที่สุดคือสเปิร์ม (sperm) และใหญ่ที่สุดคือไข่ (egg)
cell หลาย
ๆ cell รวมกันกลายเป็น เนื้อเยื่อ (tissue) เนื้อเยื่อ (tissue) หลาย ๆ เนื้อเยื่อ (tissue) รวมกันกลายเป็น ระบบ (system)
ระบบ
(system) หลาย ๆ ระบบ (system) รวมกันกลายเป็น ส่วนประกอบของร่างกาย ส่วนประกอบของร่างกาย (parts 0f
body) รวมกันกลายเป็น ร่างกาย (body)
เซลล์ที่เป็นองค์ประกอบของร่างกาย
1. เซลล์ร่างกาย (body cell) ลักษณะแบนบาง
มีนิวเคลียสอยู่ตรงกลางพบตามร่างกาย
2. เซลล์เยื่อบุ (epidermis) ลักษณะแบนบาง
มีนิวเคลียสตรงกลางนูนเหมือนไข่ดาว พบตามเยื่อบุที่มีผนังบางมีเมือก (mucus) หล่อเลี้ยง เช่น ริมฝีปาก กระพุ้งแก้ม
ดวงตา อวัยวะเพศภายใน
3. เซลล์กล้ามเนื้อ (muscle cell) มี 3 ชนิด
ก. เซลล์กล้ามเนื้อลาย (reticular muscle) พบตาม แขน ขา
ข. เซลล์กล้ามเนื้อเรียบ (smooth muscle) พบตาม อวัยวะภายใน เช่น ทางเดินอาหาร
ค. เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ (cardiac cell) พบที่หัวใจ
4. เซลล์เม็ดเลือดแดง (Red Blood Cell ; RBC)
5. เซลล์เม็ดเลือดขาว (White Blood Cell ; WBC)
6. เซลล์ประสาท
7. เซลล์กระดูก
8. เซลล์สมอง
9.
เซลล์สืบพันธุ์
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)